ข้าวโพด ถือเป็นธัญพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจชนิดหนึ่งของโลก ข้าวโพดที่ให้กันทั่วไปมักจะเป็น ข้าวโพดไร่หรือข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และข้าวโพดที่กินฝักสด ซึ่งได้แก่ ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดข้าวเหนียว ข้าวโพดฝักอ่อน โดยเฉพาะข้าวโพดหวานที่นิยมนำมาต้มกินกัน เพราะให้เมล็ดที่มีน้ำตาลกลูโคสในปริมาณสูง ควรเก็บเกี่ยวใน “ระยะน้ำนม” เพราะเป็นระยะที่มีน้ำตาลสูงสุด คุณภาพดีที่สุดหากเก็บเลยระยะนี้ไป ปริมาณน้ำตาลจะลดลงและมีแป้งเพิ่มขึ้น
เมล็ดข้าวโพดที่แก่จัด มีคาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 70 ไขมันประมาณร้อยละ 4 สามารถสกัดเป็นน้ำมันข้าวโพดที่มีกรดไลโนเลอิก (Linoleic Acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันอิ่มตัวในปริมาณร้อยละ 40 กรดไลโนเลอิกมีฤทธิ์ควบคุมคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยลดหรือแก้โรคความดันโลหิตสูง ข้าวโพดมีโปรตีนประมาณร้อยละ 4 แต่โปรตีนในข้าวโพดขาดกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 2 ชนิด คือ ไลซีน (Lysine) และทริปโตเฟน (Tryptophan) จึงควรกินถั่วร่วมด้วย เพราะถั่วมีกรดอะมิโนทั้งสองชนิดนี้อยู่มาก
ข้าวโพดอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายตัว อย่างข้าวโพดสีเหลืองจะมีสารกลุ่มลูทิน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ช่วยชะลอปัญหาจอประสาทตาเสื่อมหรือตาบอดจากจอตาเสื่อม ส่วนข้าวโพดสีม่วงเข้มหรือสีดำมีสารโอลิโกเมอริกไพรแอนโทไซยานิดิน (Oligomeric Proanthocyanidins) ตัวเดียวกับสารที่สกัดจากเมล็ดองุ่น ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ ต้านเซลล์เสื่อมแล้วเซลล์ผิดปกติในร่างกาย จึงป้องกันกานเกิดเนื้องอกและเซลล์มะเร็งได้
จากรายงานผมการวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐอเมริกา พบว่าข้าวโพดมีกรดเฟอรูลิก (Ferulic) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านการแก่ โรคหัวใจ ป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง ต่อต้านผลกระทบจากรังสีอัลตราไวโลเลต จึงป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ แม้เมื่อนำข้าวโพดไปต้มสุกที่อุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ความร้อนก็ไม่ได้ทำลายสารนี้ แต่กลับเป็นการเพิ่มปริมาณสารให้สูงขึ้น
วัยที่ต้องกินข้าวโพดคือ วัยเด็ก และเหมาะกับคนที่ต้องใช้สายตามาก อ่านหนังสือ ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือตาโดนแดด ควัน ฝุ่นเยอะ อันเป็นสาเหตุให้จอประสาทตาเสื่อมง่าย เนื่องจากข้าวโพดจะช่วยสร้างเซลล์ประสาทที่จอตา ส่วนวัยที่ไม่ควรกินข้าวโพด คือ ผู้สูงอายุ เพราะเป็นวัยที่มีปัญหาท้องอืดบ่อยหรือลำไส้ย่อยยากตลอดจนคนที่เพิ่งผ่าตัดช่องท้องมาใหม่ ๆ ที่ต้องระวังไม่ให้ท้องอืด ผู้ที่ควบคุมน้ำหนักก็ควรจำกัดการกินข้าวโพด เพราะจะได้รับแป้งน้ำตาลในปริมาณมากเกินไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น